นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เร่งรัดบรรจุบุคลากรเข้ามาเป็นข้าราชการ ในตำแหน่งที่ว่างอยู่ 2.4 หมื่นอัตรา โดยคำนึงถึงความจำเป็น

ขณะที่ก่อนนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขจะขอให้ก.พ. บรรจุพยาบาลเพิ่มอีก 1.25 หมื่นคน แบ่งเป็นลูกจ้างปัจจุบัน 1 หมื่นคน และที่กำลังจะจบการศึกษาในเดือนมี.ค. อีก 2,500 คน

นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ยังได้ขอให้เพิ่มการกู้ยืมเพื่อการศึกษาจากกองทุนให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนเงินกู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ที่ผู้กู้ยืมเงินยังได้รับเงินล่าช้า โดยให้กระทรวงการคลัง และกระทรวงศึกษาธิการไปดำเนินการแล้ว

นางเบญจวรรณ สร่างนิทร รองเลขาธิการก.พ. กล่าวว่า การบรรจุข้าราชการในตำแหน่งที่ว่างนั้น ก.พ. พร้อมดำเนินการให้ทันที ทั้งนี้ตามขั้นตอนจะต้องมีการตั้งประธานคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ก่อน จากนั้นถึงเริ่มต้นแจ้งไปตามกระทรวง และหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ว่าต้องการบุคลากรเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งคปร. จะได้จัดสรรไปตามความต้องการของหน่วยงานนั้นๆ เบื้องต้นพบว่ากระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานที่ขาดแคลนบุคลากรมากที่สุด

ขณะที่ นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการได้ข้อสรุปยืนยันการปรับเกณฑ์ให้นักเรียน นักศึกษา สามารถกู้ยืมเงินจากกองทุนได้ครบทุกชั้น เพื่อให้มีจำนวนผู้กู้เพิ่มขึ้นจากเดิมอีก แต่ต้องดูว่ากยศ. มีศักยภาพในการปล่อยกู้มากน้อยแค่ไหน

ก่อนหน้านั้นได้หารือร่วมกับ นพ.ธาดา มาร์ติน ผู้จัดการกยศ. ว่า หากจะขยายให้ครบทุกระดับชั้นจะต้องเพิ่มเงินอีก 2,900 ล้านบาท เพื่อรองรับกับจำนวนผู้กู้ที่จะเพิ่มขึ้นในกลุ่มนี้ประมาณกว่า 2 หมื่นราย

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ที่ประชุมผู้บริหารกระทรวงเห็นชอบให้มีการยุบรวมทั้ง 2 กองทุนเข้าด้วยกัน โดยใช้ชื่อว่า “กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา” และให้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกู้ยืมใหม่ โดยขยายเพดานเงินรายได้ต่อครอบครัวจากเดิม 2 แสนบาทต่อปี ซึ่งในเบื้องต้นจะกำหนดใหม่เป็น 3 ระดับ คือ ขั้นที่ 1 เริ่มที่ 2 แสนบาทต่อปี ขั้นต่อไปอาจจะ 2.5 แสนบาท และสุดท้ายไม่เกิน 3 แสนบาท

สำหรับสาขาวิชาที่ให้ขอกู้จะเน้นสาขาวิชาที่ขาดแคลน ประมาณ 150 สาขา และจะเพิ่มสัดส่วนผู้กู้ในสายอาชีพให้มากขึ้น จากเดิมที่มีผู้เรียนสายสามัญและอาชีพในสัดส่วน 60:40 จะเพิ่มเป็น 50:50

ทั้งนี้ ผู้กู้กรอ. รายเดิมให้ใช้เกณฑ์เดิมต่อไปจนจบการศึกษา ส่วนผู้กู้รายใหม่จะต้องใช้หลักเกณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่ ซึ่งจะเริ่มใช้ในปีการศึกษา 2552 นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบให้เปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา ที่ไม่ได้รับสิทธิการกู้เงินในชั้นปีที่ 1 สามารถยื่นขอกู้เงินได้ระหว่างชั้นปีที่ 2-4 รวมทั้งนักเรียน ม.ปลาย และอาชีวศึกษาด้วย

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจสถานภาพกองทุนพบว่า งบที่รัฐจัดสรรให้ในปีงบประมาณ 2552 มี 2.8 หมื่นล้านบาท กองทุนมีเงินเหลือ 2.2 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 5 หมื่นล้านบาท ในส่วนนี้เป็นงบบริหารและเงินเดือน 1,000 ล้านบาท

ดังนั้น จะมีเงินที่จะนำมาให้นักเรียน นักศึกษากู้ได้ถึง 4.9 หมื่นล้านบาท โดยในปีนี้ควรจะขยายจำนวนผู้กู้เพิ่มมากขึ้นอย่างน้อย 3.6 หมื่นล้านบาท

ที่มา โพสต์ทูเดย์ วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2552