เมื่อวันศุกร์ที่ 23 มกราคม 2552 ได้ไปพร้อมกับพี่บุญศรี เข้าร่วมประชุมคณะทำงานพิจารณาค่าตอบแทนกำลังคนทางสาธารณสุข โดยมีนายแพทย์สุพรรณ  ศรีธรรมา เป็นประธาน วัตถุประสงค์ของการประชุม  เพื่อหาข้อเสนอหลายๆแบบ เพื่อเสนอให้กรรมการนโยบาย ตัดสินใจ  โดยอยู่ในหลักการ  ให้ทุกคนมีส่วนได้           เพื่อความสมดุลในการบริการ  (ไม่สร้างความแตกแยกในองค์กร)

                โจทย์ที่ได้รับคือ

                1. หลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายฉบับใหม่ ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2551 มีผลบังคับใช้    1  ธันวาคม 2551  จะต้องใช้เงินทั้งหมด 1,726 ล้านกว่าๆ  ซึ่งระเบียบนี้ ได้ผ่านมติ ครม. แล้วโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ จนท. สายบริการ ให้อยู่ทน อยู่นาน หรือเพื่อชดเชยค่าเสียโอกาส  (เช่น รับ job เอกชนยาก  ส่งลูกเรียนไกลๆ) 

                2.  สปสช.  เสนอของบ ปี 2553 เพิ่มเติมรายหัว ๆละ 500-600 บาท ก็จะได้เงินเพิ่ม  1,500 – 2,000 ล้านบาท จะนำมาใช้เป็นค่าตอบแทนเพิ่มให้เจ้าหน้าที่

                ดังนั้น เพื่อไม่ให้ผิดมติ ครม. หรือ สตง. อาจจะทักท้วง เรียกเงินคืน จึงขอให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์(ข้อ 1) ไปก่อน

                ตามหลักเกณฑ์(ข้อ 1) จะได้รับค่าตอบแทนพิเศษ เฉพาะ 4 สายงาน คือ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และพยาบาลวิชาชีพ และได้เฉพาะ รพช. พยาบาลจะได้เฉพาะ รพช. ระดับ 2.1 และ  2.2 เท่านั้น  ใน พื้นที่ปกติ ไม่ได้   จะเห็นได้ว่า

1.       ไม่ทุกวิชาชีพ ที่ได้รับเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย

2.       ไม่ทุกพื้นที่ หรือ ไม่ทุกสถานบริการ ที่ได้รับเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย

3.       สสจ.  วสส. หรือ วพ. แม้จะมีเงินบำรุงก็จ่ายไม่ได้

การพิจารณา จึงเห็นชอบให้มีวัตถุประสงค์การจ่ายค่าตอบแทน  เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ จนท. สายบริการ ให้อยู่ทน อยู่นาน หรือเพื่อชดเชยค่าเสียโอกาส  ครอบคลุมทุกหน่วย ในอัตราที่แตกต่างกัน ตามระยะทางใกล้ ไกลความเจริญ การปฏิบัติงานยากลำบาก  เบิกจากเงินบำรุง  (แต่ถ้าต้องจ่ายนานๆ  ต้องพยายามตั้งงบประมาณ non UC ให้ได้  เพราะ ถ้าเป็นเงินบำรุง  จ่ายได้ 6 เดือน เงินก็หมด)

ในการพิจารณา  เริ่มแรก แบ่งเป็นกลุ่ม

กลุ่ม  1   จังหวัด  อำเภอ  รพศ. รพท. รพ. สังกัดกรมต่างๆ  วสส.  วพ.

กลุ่ม  2   รพช.

กลุ่ม  3   สอ.

แล้วก็เปลี่ยนไป เป็น วสส. วพ. เสนอให้แยกระเบียบไป  เพราะมีเงินบำรุงอยู่เอง  เป็นอำนาจของ ปลัดกระทรวง  น่าจะง่ายกว่า  เช่นเดียวกับ สสจ. สสอ. ก็แยกไปพิจารณา  แล้วก็หน่วยงานอื่น เช่น  สคร. ศูนย์อนามัย  ศวพ. ก็แยกไป

                คาดว่า ระเบียบนี้อาจจะใช้ไม่นาน  เพราะต่อไปจะจ่ายค่าตอบแทนพิเศษ ตาม workload

หมอทินกร ได้นำเสนอข้อมูลจำนวนบุคลากรตำแหน่งต่างๆ ที่ปฏิบัติงานในสถานบริการระดับต่างๆ  พบว่า บุคลากร 4  ด้านที่ว่า  มักจะลาออก ประมาณ 3 ปีแรกที่ทำงาน  และหลัง  10  ปีไปแล้ว ก็มักไม่ค่อยลาออก 

                คณะทำงานในที่ประชุม  จึงมีความเห็นว่าควรพิจารณา ใน รพศ.  รพท.  รพช.  สอ. ก่อน และแบ่งอัตราเป็น 2  ระดับ คือ ทำงานปีที่ 1 – 3 กับ ปีที่ 4 ขึ้นไป  ตั้งตุ๊กตามาหลายตัวเลข ผลมาลงที่

                สหวิชาชีพอื่น แบ่งเป็นคนจบปริญญา หรือไม่จบปริญญา  แบ่งพื้นที่  แบ่งตามอายุงาน

ตัวเลขใน 2 ตารางนี้  ยังไม่เป็นที่แน่นอนมั่นคง  เพราะ ต้องเอาไปคิดยอดรวม ไม่ให้เกินวงเงินงบประมาณทั้งหมดที่จะได้รับ  และต้องแล้วแต่คณะกรรมการนโยบายจะพิจารณา   แต่เสนอเข้าไปในหลักการ   เภสัชกร ขอ 50% ของแพทย์   พยาบาลขอ 30% ของแพทย์

                สรุปข้อเสนอจากที่ประชุม

1.       ชื่อ  “ค่าตอบแทนพิเศษสำหรับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้านบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข”

2.       แบ่งอายุงานออกเป็น  ปีที่ 1 – 3   กับ  ปีที่ 4  ขึ้นไป

3.       เพิ่มให้ใน  รพศ.  รพท.  รพศ.  รพท.  และ  สอ.

4.       ครอบคลุมทุกกลุ่มวิชาชีพ  ทุกหน่วยบริการ และหน่วยสนับสนุน

5.       ตามหลักการเดิมที่จะไม่แตะต้องหลักเกณฑ์เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย 28 พย.51 แต่ก็จะขอปรับปรุงอัตราการจ่าย  คือขอตัดอัตราจ่าย สำหรับผู้ปฏิบัติงาน ปีที่ 10-20 และปีที่ 21 ขึ้นไป  เป็นอัตราเดียวกับ ปีที่ 4 ขึ้นไป  เพื่อให้เกิดความสมดุลในหน่วยงาน

หมายเหตุ  ตอนเลิกประชุม  เกือบ 4 โมงเย็น   ยังไม่ได้พิจารณาของ  สสจ.   ว่าจะจ่ายให้วิชาชีพใดบ้าง  หรือผู้ปฏิบัติงานในกลุ่มงานใด